หนังสือแปลเกาหลี

หนังสือแปลเกาหลี “ยังไม่ทันเข้างานก็อยากกลับบ้านแล้ว”

หนังสือ “ยังไม่ทันเข้างานก็อยากกลับบ้านแล้ว” แปลจากหนังสือภาษาเกาหลีชื่อ “왜 힘들지? 취직했는데” เขียนโดย คุณว็อนจีซู แปลเป็นภาษาไทยโดย คุณธัชชา ธีรปกรณ์ชัย และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Bloom

คลิกดูคลิปวีดีโอสรุปหนังสือ “ยังไม่ทันเข้างานก็อยากกลับบ้านแล้ว” ได้ที่นี่

ชื่อหนังสือ “왜 힘들지? 취직했는데” มีความหมายตรงตัวว่า ทำไมยากลำบากล่ะ ก็ได้งานแล้วนี่นา

นอกจากชื่อหนังสือแล้ว บนหน้าปกหนังสือฉบับภาษาเกาหลี ยังมีข้อความที่เขียนไว้ว่า “죽을 만큼 원했던 이곳에서 나는 왜 죽을 것 같을까?” ประโยคนี้เป็นคำถามที่คุณว็อนจีซู ผู้เขียน ถามตัวเองว่า “ได้สิ่งที่ต้องการแทบตายมาแล้ว ทำไมยังดูเหมือนแทบจะตายอีกล่ะ”

คำศัพท์ภาษาเกาหลีน่ารู้

  • 왜 – ทำไม
  • 힘들다 – เหนื่อยยาก, ลำบาก
  • 취직하다 – ได้งานทำ, เข้าทำงาน
  • 만큼 – เท่า, เท่ากับ
  • 원하다 – ต้องการ

สิ่งที่คุณว็อนจีซูบอกว่าตัวเองต้องการแทบตายก็คือต้องการได้งานทำ แต่พอได้ทำงาน ได้ใช้ชีวิตเป็นชาวออฟฟิศจริง ๆ แล้วแทนที่จะมีความสุขกลับรู้สึกเครียดและเหนื่อยล้า การเขียนหนังสือเล่มนี้ก็เลยทำให้คุณว็อนจีซูได้ทบทวนตัวเองและปลอบประโลมตัวเอง เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างดีที่สุด ถึงแม้จะต้องเผชิญกับความเครียดหรือความเหนื่อยล้า ซึ่งคุณว็อนจีซูก็หวังอยากให้คนที่รู้สึกเหมือนกับตัวเอง ได้ก้าวผ่านสถานการณ์แบบนี้และทำให้ค่ำคืนที่เหนื่อยล้าเบาบางลงได้เช่นกัน

บทที่ 1 งานก็ได้แล้ว ทำไมถึงเหนื่อยกันนะ

ในขณะที่พนักงานออฟฟิศมากมายรู้สึกว่าทำงานด้วยความทุกข์ อยากจะลาออกทุกวัน แต่ก็ยังมีพนักงานออฟฟิศอีกหลายคนบอกว่ามีความสุข มีหัวหน้าแผนกคนหนึ่งที่ได้ไปทำงานในสาขาของบริษัทที่ต่างประเทศเล่าว่าตอนเป็นพนักงานขายหน้าใหม่เคยขนสินค้าไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กบนยอดเขาเพื่อเจาะตลาด แต่ก็โดนปฏิเสธ ต้องขนของกลับแล้วก็ลื่นไถลบนกองหิมะจนข้าวของกระจัดกระจาย ตอนที่จมูกจุ่มอยู่ในกองหิมะ รุ่นพี่คนนั้นก็คิดว่าจะต้องไม่ทำงานแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็เลยอดทนและฟันฝ่าจนผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ เมื่อมีเป้าหมายแล้วมองเห็นภาพตัวเองในอนาคตที่จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเดินหาตลาดในวันที่หิมะตกหนัก แต่ได้รับผิดชอบงานสำคัญและดีกว่าเดิม จึงเป็นแรงผลักดันให้ประสบความสำเร็จ

หลังจากคุณว็อนจีซูได้ฟังเรื่องราวของรุ่นพี่ก็รู้สึกว่ายอดเยี่ยม แต่พอย้อนกลับมามองตัวเองก็ยังไม่เห็นภาพตัวเองในอนาคต เพราะตอนนั้นตั้งเป้าหมายในชีวิตคือการได้เริ่มต้นทำงานออฟฟิศ แต่ไม่เคยนึกถึงเป้าหมายในฐานะพนักงานออฟฟิศ

บทที่ 2 อยากเลิกหรืออยากเริ่มใหม่

ในชีวิตของคนเรามักจะมีครั้งแรกเสมอ เช่น ครั้งแรกที่มีเพื่อน ครั้งแรกที่ลองดื่มกาแฟ ครั้งแรกที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าจะมีหลายเรื่องแค่ไหนก็ครั้งแรกก็มีพลังแรงกล้าเสมอ จึงเป็นธรรมดาที่การปล่อยมือจากงานแรกจะเป็นเรื่องยาก เพราะการเข้าทำงานในบริษัทเป็นเรื่องยาก ทุกคนก็เลยมีจุดมุ่งหมายแค่ว่าให้ได้เข้าไปก่อน ส่วนเข้าไปแล้วจะเป็นยังไงต่อก็ไม่รู้ เมื่อจุดเริ่มต้นกลายเป็นเส้นชัยก็ไม่แปลกที่เรามักจะยึดติดอยู่กับที่ทำงานแรกเพราะรู้สึกว่านั่นคือเส้นชัยของความพยายามที่ผ่านมาก ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นแค่จุดเริ่มต้น ถ้าที่ทำงานนั้นโอเคก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องทนทุกข์หรือไม่สบายใจ แล้วก็พยายามจะอดทน คล้ายกับความรักครั้งแรกที่ต่างคนต่างรู้ว่าไม่ใช่ แต่เพราะเป็นรักครั้งแรกจึงปล่อยมือจากทุกสิ่งที่เคยทำร่วมกันมาได้ยาก แต่การที่ล้มเหลวกับรักครั้งแรกก็ไม่ได้หมายว่ารักครั้งต่อไปจะพังพินาศ การทำงานก็เช่นกัน การที่รู้ว่างานแรกไม่เหมาะกับตัวเองก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตการทำงานทั้งชีวิตต้องพังทลายลง แต่ในขณะเดียวกันการย้ายงานก็ไม่ควรเป็นจุดหมายปลายทาง ถ้าจะย้ายงานก็ควรทำเพื่อเป้าหมายบางอย่างที่ไตร่ตรองมาดีแล้ว ต้องมั่นใจว่าที่ลาออกเพราะอยากลองทำอย่างอื่นจริง ๆ ถ้ายังไม่ชัดเจนว่าในใจต้องการอะไรกันแน่ ถ้ายังรู้สึกแค่ “ขอเพียงไม่ใช่ที่นี่” หรือ “ที่ไหนก็ได้สักแห่ง” ก็ควรใช้เวลาไตร่ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจ

บทที่ 3 ทำไปแล้วใครจะเห็นค่า

การเปลี่ยนสถานะจากนักเรียน นักศึกษา เป็นพนักงานออฟฟิศได้เปลี่ยนชีวิตเราจากเคยใช้เงินตัวเองหรือใช้เงินพ่อแม่ กลายเป็นรับเงินจากคนอื่นแทน คุณค่าของพนักงานออฟฟิศจึงมักจะวัดกันที่ความคุ้มหรือไม่คุ้มกับค่าจ้างที่บริษัทจ่ายให้ ในมุมของบริษัทก็ต้องการให้พนักงานตั้งใจทำงานให้ได้ประสิทธิผล ในมุมของพนักงานก็คงต้องการให้บริษัทรับรู้ถึงความสามารถและความพยายามของตนเองจนได้เลื่อนขั้นหรือขึ้นเงินเดือน ตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ ก็อาจจะคิดว่าการทำงานเหมือนได้ไล่ตามความฝัน แต่พอรู้ตัวอีกทีกลับกลายเป็นพยายามอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีในสายตาคนอื่นหรือสายตาเจ้านายจนได้เลื่อนขั้นสูง ๆ ขึ้นไป ในโลกของพนักงานออฟฟิศเราต้องผ่านการประเมินและอนุมัติจากคนอื่น ต้องรายงานให้ผู้อื่นรับรู้ รวมถึงต้องแข่งขันกับคนอื่นจนไม่เหลือช่องว่างให้พักทบทวนตัวเองว่างานที่ทำไปนั้น ในมุมมองของตัวเอง คิดว่าเป็นอย่างไร เกณฑ์ที่บริษัทใช้ประเมินของเรา กับเกณฑ์ที่เราใช้ประเมินคุณค่าการทำงานของตัวเองก็น่าจะแตกต่างกัน ถ้าได้ทบทวนตัวเองแล้วอาจจะเลือกได้ว่าจะทำงานอย่างที่ตัวเองพอใจหรือทำงานเพื่อให้คนอื่นพอใจกันแน่

ความสำเร็จของเราถึงแม้จะไม่มีใครเอ่ยชม แต่เราก็รับรู้ได้ด้วยตัวเอง และไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็อย่าปล่อยผ่านไปอย่างไร้ค่า แต่มองให้เห็นคุณค่าของความสำเร็จเล็กน้อยนั้น แล้วพูดกับตัวเองว่า “เราทำดีขึ้นขนาดนี้เลยสินะ เก่งมาก” หรือ “ตอนนี้เราทำเรื่องนี้ได้แล้วสินะ เก่งมากเลย” “นี่ฉันก็ช่วยคนอื่นได้นี่นา ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

บทที่ 4 เมื่อไรเราถึงจะมั่นคงนะ

ในประเทศเกาหลีใต้ พ่อแม่ปลูกฝังให้ลูก ๆ มีความเชื่อว่า “งานที่มั่นคง = อนาคตที่มีความสุข” แต่ตอนนี้การได้งานทำก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าสภาวะมั่นคงได้มั้ย เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก โลกที่เติบโตมากับโลกทำงานจริงก็เปลี่ยนไป มีงานมากมายสูญหายไป และมีงานมากมายเกิดขึ้นใหม่ งานที่พ่อแม่เคยคิดว่าไม่อยากให้ลูกทำเพราะกลัวจะหาเงินไม่ได้ ตอนนี้อาจจะกลายเป็นงานที่ได้รับความนิยมและทำรายได้สูงมาก

นิยามของงานที่มั่นคงได้เปลี่ยนไปแล้ว สมัยก่อนที่บอกว่าขอแค่ให้ได้งานทำแล้วชีวิตที่มั่นคงก็จะตามมาเอง ตอนนี้คำพูดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจริงอีกต่อไป หลายคนก็กังวลว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้มั่นคงจริงมั้ย เหมือนอย่างที่เราได้เห็นในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เมื่อโควิดระบาด หลาย ๆ อาชีพที่เคยมั่นคงก็ได้รับผลกระทบ บางอาชีพที่หลายคนมองข้ามก็กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ

การทำงานในออฟฟิศก็เหมือนกับการสวมเสื้อผ้าที่ชื่อว่าอาชีพ เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ความคิดก็มีน้ำหนักมากขึ้น ค่านิยมที่ยึดถือก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่เสื้อผ้าที่ใส่ก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปเสื้อผ้าที่เคยใส่ก็อาจจะไม่เข้ากับความนิยมในตอนนี้ ความกังวลในใจและในชีวิตก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นกัน คุณว็อนจีซู ผู้เขียนบอกว่าตอนนี้ได้ให้ความสำคัญกับคำถามที่ว่าใส่ชุดนั้นแล้วไปใช้ชีวิตแบบไหน มากกว่าคำถามว่าใส่ชุดไหนดี และถ้าชุดที่เคยเลือกคราวก่อน ๆ เริ่มมีส่วนที่ไม่เข้ากับเราทีละนิด ๆ ก็ลองเปลี่ยนสไตล์มาตัดชุดใหม่บ้าง

หนังสือเล่มอาจจะไม่ใช่หนังสือฮาวทูที่บอกว่าควรจะทำอะไร หรือขั้นตอน 1 2 3 คืออะไร แต่หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ชวนให้เราคิดทบทวนตัวเองกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ชวนให้ทบทวนความรู้สึกของตัวเอง และชวนให้เรากล้าที่ก้าวออกมาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต ไม่ใช่เฉพาะพนักงานออฟฟิศเท่านั้น แต่เราทุกคนสามารถก้าวออกมาพบเส้นทางใหม่ ๆ ที่ดีกว่าได้เสมอ

ขอให้สนุกกับการอ่านหนังสือและการเรียนภาษาเกาหลีนะคะ ^^

ต้องการอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ คลิกที่นี่ค่ะ